Honey Lime logo

Published at: 15/05/2023

Updated at: 08/11/2023

การทำ SEO 2023: ปูพื้นฐาน SEO สำหรับมือใหม่ เข้าใจได้ไม่ยาก

การตลาดในปัจจุบัน ไม่ได้จำกัดอยู่ที่การโฆษณาในโลกโซเชียลมีเดียเท่านั้น แต่เราสามารถเพิ่มโอกาสในการขายด้วยการทำ SEO บนเว็บไซต์อีกด้วย ยิ่งในยุคที่ผู้บริโภคนิยมเลือกซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ มากกว่าเดินทางไปที่ร้านด้วยตัวเองแบบนี้ หากเรามีกลยุทธ์การทำ SEO ที่ดี ไม่เพียงแต่จะทำให้กลุ่มลูกค้ารู้จักแบรนด์มากขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ จนกลายเป็นแบรนด์ในใจของลูกค้าทุกคนได้ ช่วยสร้างยอดขายให้กับสินค้าได้อย่างแน่นอน

การทำ SEO

บทที่ 1: ทำความรู้จักกับ การทำ SEO เริ่มต้นตั้งแต่ศูนย์ 

การทำ SEO

การทำ SEO คืออะไร? ทำไมนักการตลาดถึงต้องรู้จักการทำ SEO

SEO ย่อมากจาก Search Engine Optimization เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้ลูกค้าเจอเว็บไซต์ของเราผ่านคำค้นหาหลัก (Keyword) ได้ง่ายขึ้น ซึ่งหลักการในการทำงานของ SEO นั้นไม่ยากเลย เพียงแค่เรากำหนดคำค้นหาหลัก (Keyword) ที่เราจะใช้สำหรับธุรกิจ ประมาณ 1-3 คำ จากนั้นปรับปรุงเนื้อหาบนเว็บไซต์ ตั้งแต่หน้าเว็บหลัก (Homepage) ไปจนถึงเนื้อหาของบทความบนเว็บไซต์ หากเราเลือกคำได้ถูก เขียนคอนเทนต์ได้โดนใจ ก็จะเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของเราแสดงผลในหน้าแรกบน Google มากยิ่งขึ้น ช่วยสร้าง Organic Traffic ให้กับเว็บไซต์ และยังเป็นการโปรโมทหน้าร้านออนไลน์ของเราแบบฟรี ๆ โดยไม่ต้องเสียเงินแม้แต่นิดเดียว!

การทำ SEO

Photo Credit: solutionsresource.com

ประโยชน์ของการทำ SEO บนเว็บไซต์ ที่เราไม่ควรมองข้าม!

ประโยชน์ของการทำ SEO บนเว็บไซต์ ที่เราไม่ควรมองข้าม! หลายคนอาจจะตั้งคำถามกับการทำ SEO ว่ามีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน? แล้วร้านค้าท้องถิ่นเหมาะกับการทำ SEO ด้วยหรือเปล่า? 

คำตอบคือ SEO เหมาะกับธุรกิจทุกแบบ!  ขอเพียงแค่คุณมีหน้าร้านบนเว็บไซต์ ก็เริ่มต้นทำ SEO ได้ไม่ต้องรอ! ยิ่งเราเริ่มทำ SEO นานแค่ไหน ยิ่งเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ติดในหน้าแรก มากกว่าเว็บไซต์คู่แข่งเป็นเท่าตัว! นอกจากจะส่งผลให้ลูกค้าค้นหาเจอเว็บไซต์เราได้ง่ายขึ้นแล้ว ยังช่วยให้แบรนด์ดูน่าเชื่อถือขึ้นอีกด้วย

ข้อดีของการทำ SEO นั้น มีมากมายประการดังนี้

การทำ SEO

Photo Credit: techindustan.com

  • การทำ SEO ช่วยเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมบนเว็บไซต์ หากเว็บไซต์มีจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์เยอะ ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ติดอันดับในหน้าแรกมากขึ้น 
  • การทำ SEO ช่วยเจาะกลุ่มเป้าหมายได้ตรงกว่าเดิม เนื่องจากการทำ SEO เราจะต้องกำหนดคำค้นหาหลัก (Keyword) รวมถึงประเภทของคอนเทนต์ที่กลุ่มเป้าหมายสนใจ คุณจึงมั่นใจได้เลยว่าเนื้อหาบนเว็บไซต์ ตรงกับความต้องการของลูกค้าแน่นอน 
  • การทำ SEO ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายการตลาด ถึงแม้ว่าการทำ SEO จะใช้เวลาติดหน้าแรกนานกว่า แต่เมื่อเทียบการทำลงโฆษณาผ่าน Facebook Ads, Google Ads แล้ว ถือว่าคุ้มค่ากว่ามาก! เพราะคุณแทบไม่ต้องเสียเงินในการทำโฆษณา ก็สามารถครองพื้นที่การทำโฆษณาบน Google แบบฟรี ๆ 
  • การทำ SEO ช่วยสร้างความน่าเชื่อให้กับสินค้าและแบรนด์ สำหรับพฤติกรรมของผู้บริโภคส่วนใหญ่ จะรู้สึกเชื่อมั่นในสินค้าและบริการของแบรนด์ที่มีเว็บไซต์ติดในหน้าแรก และมีอันดับดีกว่าแบรนด์อื่น ๆ ยิ่งมีจำนวนคนมองเห็นและเข้าชมเว็บไซต์ของเรามากแค่ไหน ช่วยทำให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น 

บทที่ 2:  การทำ SEO มีกี่ประเภท? ควรเลือกแบบไหนดี

การทำ SEO

ประเภทของการทำ SEO ที่เราควรรู้

ถึงแม้ว่าการเขียนบทความให้เอื้อต่อการทำ SEO จะมีความสำคัญอย่างมากสำหรับเว็บไซต์ทุกประเภท แต่การทำ SEO 2023 เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเขียนบทความ SEO เท่านั้น ยังมีหลายปัจจัย รวมถึงมีเทคนิคมากมาย ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ SEO ให้ดียิ่งขึ้น

การทำ SEO

Photo Credit: wordstream.com

โดยประเภทของการทำ SEO แบ่งออกเป็น 3 แบบ ดังนี้

การทำ SEO

Photo Credit: techjustify.com

  1. On-Page SEO 

On-Page คือการปรับแต่งเนื้อหาภายในเว็บไซต์ เพื่อช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับ (Ranking) ที่สูงขึ้น และสามารถค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดที่เรากำหนดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการทำ SEO มีหลายองค์ประกอบด้วยกัน ตั้งแต่การตั้งชื่อโดเมน (Domain) การสร้างบทความ SEO บนเว็บไซต์ ชื่อหัวเรื่องของเว็บไซต์ (Title Tag) การเชื่อมโยงลิ้งก์ภายในเว็บไซต์ (Internal Link) คำอธิบายหน้าเว็บไซต์ (Meta Description) คำอธิบายรูปภาพ (Alt Text) และปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมาย ที่เราสามารถปรับแต่งภายในเว็บไซต์ให้การทำ SEO มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

  1. Off-Page SEO 

Off-Page ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การทำ SEO ที่จะช่วยให้เว็บไซต์มีผลการค้นหาใน Search ที่ดีขึ้น ซึ่งการทำ Off-Page แตกต่างกับการทำ On-Page โดยสิ้นเชิง เนื่องจากเป็นการโปรโมทผ่านเว็บไซต์ภายนอก เพื่อทำให้ติดอันดับใน Search Engine ที่สูงขึ้น โดยเราจะให้เว็บภายนอกสร้าง Backlink หรือ Link Building เชื่อมโยงลิ้งก์กลับยังเว็บไซต์ ยิ่งเรามีลิ้งก์ส่งจากเว็บไซต์อื่นมากแค่ไหน Backlink ก็จะเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เว็บไซต์ของเราติดอันดับแรก ๆ บน Google นั่นเอง

ข้อควรระวัง: ถึงแม้การทำ Backlink จะช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับใน Search Engine ที่สูงขึ้น แต่เราควรเลือกทำ Backlink กับเว็บไซต์ที่มีคุณภาพเท่านั้น เพราะถ้าหากเราสร้าง Link ที่มีคุณภาพต่ำมากเกินไป อาจทำให้เกิด “Backlink Spam” ส่งผลให้อันดับใน Search Engine ค่อย ๆ ลดต่ำลงได้

  1. Technical SEO 

นอกจากคุณภาพของเนิ้อหาบนเว็บไซต์และบทความ เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการทำ SEO อีกแล้ว สิ่งหนึ่งที่เราไม่ควรมองข้ามคือ “เทคนิค SEO” (Technical SEO) 

เทคนิคและเครื่องมือต่าง ๆ ที่จะช่วยให้เราสามารถปรับปรุงโครงสร้างบนเว็บไซต์ ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และยังช่วยให้ Search Engine สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ของเราได้ง่ายกว่าเดิม  ซึ่งเครื่องมือสำหรับการทำเทคนิค SEO มีหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น

  • Ubersuggest >> Keyword Research (must have!)
  • Google trend >> Compare Keyword / Keyword Trending
  • Google Analytics เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลผู้เข้าชมเว็บไซต์ 
  • Screaming Frog เครื่องมือตรวจสอบโดเมน 
  • PageSpeed Insights Tool เครื่องมือวิเคราะห์ตรวจสอบความเร็ว 
  • Siteliner เครื่องมือตรวจหาคอนเทนต์ซ้ำ

นี่เป็นเพียงบางส่วนสำหรับการทำเทคนิค SEO เท่านั้น ยังมีเครื่องมืออีกหลากหลายประเภท ให้เราได้เลือกใช้กัน ซึ่งการทำเทคนิค SEO ไม่เพียงแต่ช่วยจัดการและปรับปรุงโครงสร้างของเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ Google Bot เข้าใจเนื้อหาบนเว็บไซต์ของเรามากขึ้น ส่งผลให้เว็บไซต์แสดงผลในหน้าแรกบน Google และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีกว่าเดิม 

บทที่ 3:  ขั้นตอนการทำ SEO เว็บไซต์ติดหน้าแรกได้ไม่ยาก

การทำ SEO

เมื่อเรารู้จักกับทฤษฎีขั้นพื้นฐานของการทำ SEO มากขึ้นแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการทำ SEO ด้วยตัวเอง โดยเราได้รวบรวม 8 ขั้นตอนการทำ SEO 2023 สำหรับมือใหม่มาฝากกัน ซึ่งจุดประสงค์ของการทำ SEO นั้น เพื่อช่วยให้บทความและเนื้อหาบนเว็บไซต์มีคุณภาพมากขึ้น ตรงกับความสนใจของกลุ่มผู้อ่าน และยังช่วยขยายฐานไปยังลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ ให้รู้จักกับแบรนด์ของเราผ่านเว็บไซต์ได้ดีกว่าเดิม ขั้นตอนการทำ SEO แบบง่าย ๆ ด้วยตัวเอง มีดังนี้ 

  1. กำหนดจุดประสงค์สำหรับการทำ SEO 

ก่อนที่เราจะเริ่มทำ SEO บนเว็บไซต์ เราควรกำหนดจุดประสงค์ที่ชัดเจนสำหรับการทำ SEO ให้กับแบรนด์ของเราก่อน เพราะประเภทของ SEO มีหลากหลายแบบด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการทำ SEO สำหรับธุรกิจท้องถิ่น (Local SEO) การทำ SEO สำหรับการค้า (E-Commerce SEO) การทำ SEO เพื่อโปรโมทแอปพลิเคชั่น (ASO) และประเภทอื่น ๆ มากมาย หากเราเลือกทำ SEO ได้ถูกประเภท จะช่วยให้เราสามารถกำหนดกลยุทธ์สำหรับการทำ SEO ได้ถูกจุดมากขึ้น

  1.  วิเคราะห์ Focus Keyword ที่เหมาะกับธุรกิจมากที่สุด
การทำ SEO

การเขียนบทความ SEO บนเว็บไซต์ จะขาดพระเอกหลักอย่างคำค้นหาหลัก (Focus Keyword) ไปไม่ได้เลย ซึ่งการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่เราจะใช้สำหรับการทำบทความ SEO เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก เพราะถ้าเราเลือกคีย์เวิร์ดผิดเมื่อไหร่ นอกจากจะทำให้เว็บไซต์แสดงผลบน Google ได้น้อยลงแล้ว ยังลดการเข้าถึงเว็บไซต์ของกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการอีกด้วย 

สำหรับการกำหนดคีย์เวิร์ดนั้น เริ่มตั้งแต่ขั้นตอน การค้นหาคีย์เวิร์ด (Keyword Research) การวิเคราะห์คีย์เวิร์ดจากแบรนด์คู่แข่ง (Competitor Keyword) รวมไปถึงการใช้เครื่องมือวิเคราะห์คีย์เวิร์ดอย่าง Google Trend, Ubersuggest, Keyword Planner  และเครื่องมืออื่น ๆ มากมาย โดยเราควรเลือกคีย์เวิร์ดที่มีการค้นหาเยอะ และเป็นคำที่กลุ่มเป้าหมายใช้ในการค้นหาบน Google จะช่วยเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ และทำให้เว็บไซต์ติดในหน้าแรกได้

  1.  วางแผนหัวข้อคอนเทนต์บนเว็บไซต์ 

เมื่อเราได้คีย์เวิร์ดที่ต้องการแล้ว ขั้นตอนต่อไปที่สำคัญไม่แพ้กัน คือการวางแผนหัวข้อบทความ SEO ที่เราต้องการจะเผยแพร่บนเว็บไซต์ โดยการเลือกวาแผนหัวข้อสำหรับการเขียนบทความ SEO นั้น ควรดูจาก 5 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 

  • เนื้อหาของบทความตรงกับความสนใจของผู้อ่าน
  • หัวข้อของบทความเกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ด (Keyword) ที่เราจะใช้
  • กำหนดหมวดหมู่หลักสำหรับการเขียนบทความบนเว็บไซต์
  • เนื้อของบทความ SEO ช่วยโปรโมทแบรนด์ของเราได้
  • เนิ้อหาของบทความ SEO มีประโยชน์ต่อผู้อ่าน 

ถ้าหากเราวางแผนบทความ SEO ได้อย่างถูกจุด ตรงกับความสนใจของกลุ่มผู้อ่าน ที่ใช้คีย์เวิร์ดเดียวกันในการค้นหาบทความ รับรองว่าจะช่วยเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ (Website Traffic) ให้มากขึ้น โดยไม่ต้องเสียเงินโฆษณาเว็บไซต์บน Google แพง ๆ เลย คุ้มค่ากว่ากันเยอะ!

  1.  สร้าง Backlink ที่มีคุณภาพ ช่วยเพิ่ม Traffic บนเว็บไซต์ได้ 
การทำ SEO

นอกจากเราจะต้องโฟกัสการปรับปรุงเนื้อหาภายในเว็บไซต์แล้ว การสร้าง Backlink หรือการทำ Link Building จากเว็บไซต์ภายนอก จะช่วยเพิ่มคะแนนให้เว็บไซต์ของเราติดอันดับที่สูงขึ้น และยังติดอันดับในนานกว่าเว็บไซต์ที่ไม่ได้ทำ Backlink อีกด้วย ยิ่งมีเว็บไซต์ภายนอกส่งลิ้งก์มายังเว็บไซต์ของเราเยอะแค่ไหน จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ และช่วยให้เว็บไซต์ของเราถูกค้นหาได้ง่ายขึ้น 

  1.  ปรับแต่งบทความ SEO ให้มีเนื้อหาสดใหม่อยู่เสมอ

บทความ SEO เก่า ๆ ที่เผยแพร่บทเว็บไซต์นั้น มีประโยชน์มากกว่าที่เราคิด! อีกหนึ่งเทคนิคในการทำ SEO ที่หลายคนมองข้าม คือการปรับแต่งเนื้อหาในบทความ SEO ให้มีคุณภาพที่ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการปรับแต่งคีย์เวิร์ด เพิ่มรูปภาพ ใส่ Internal Link หรือแม้แต่การเปลี่ยนไปใช้คีย์เวิร์ดใหม่ ที่มีปริมาณการค้นหา (Search Volume) เยอะกว่าคีย์เวิร์ดเดิม วิธีนี้นอกจากจะช่วยให้เราประหยัดเวลา ไม่ต้องเขียนบทความใหม่แล้ว ยังช่วยให้เว็บไซต์มีบทความที่คุณภาพดีขึ้นอีกด้วย 

สรุป 

เมื่อได้ทำความเข้าใจกับหลักการทำงานของ SEO รวมถึงขั้นตอนในการทำ SEO ด้วยตัวเองแบบง่าย ๆ แล้ว จะเห็นได้ว่ายังมีอีกหลายปัจจัยที่จะช่วยให้การทำ SEO มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งการทำ SEO 2023 ไม่เพียงแต่พุ่งเป้าไปที่การทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก หรือช่วยสร้างยอดขายเท่านั้น แต่เรายังต้องสร้างบทความ SEO ที่มีคุณค่า และตรงกับความสนใจของกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด ถือเป็นการโปรโมทแบรนด์ที่ไม่ต้องเสียเงินเลยสักบาท แต่ได้ยอด Traffic บนเว็บไซต์แบบ 100% หากคุณมีคำถามหรือข้อสงสัยในส่วนไหน สามารถขอคำปรึกษากับทีม Honey Lime Agency ได้เลย

ติดต่อทีมเอเจนซี Honey Lime Agency :