Published at: 27/05/2024
Updated at: 27/05/2024
Cookie คืออะไร ถ้า Google ยกเลิก Third-Party Cookie รับมืออย่างไรดี
หลังจากเมื่อต้นปี 2023 ที่ Google ประกาศว่าจะยุติการใช้ Third-Party Cookie ทั้งหมดบนเบราว์เซอร์ Chrome ทำให้วงการ Performance Marketing สั่นคลอนอย่างมาก รวมไปถึงแบรนด์เล็ก ๆ ที่ยังใช้ข้อมูล (Data) ที่ได้จาก Third-Party Cookie อยู่ เนื่องจากการเก็บข้อมูลทำได้ยากขึ้น และความแม่นยำจากคุกกี้ที่ใช้อยู่จะลดลงอย่างมาก
ซึ่ง Google ก็กำลังเริ่มเดินหน้าแผนการปิดกั้น Third-Party Cookie บน Chrome อย่างเต็มรูปแบบ และมีแผนที่จะยกเลิกทั้งหมดภายในสิ้นปี 2024
ในบทความนี้ Honey Lime Agency ขอพาไปไขข้อข้องใจว่าคุกกี้ หรือ Cookie คืออะไร แล้วถ้า Google ยกเลิก Third-Party Cookie แล้ว จะมีวิธีรับมือสำหรับนักการตลาด หรือ เจ้าของแบรนด์ ที่ต้องรู้ไว้ก่อนเข้าสู่โลก Privacy-Centric และ Cookieless World อย่างไรบ้าง
Cookie คืออะไร ทำความเข้าใจการทำงานของ Cookie
Cookie คือ Text File ที่แต่ละเว็บไซต์บันทึกลงในเบราว์เซอร์เมื่อมีผู้ใช้ (User) เข้าเว็บไซต์ เหมือนเป็นหน่วยความจำที่เว็บไซต์ใช้เก็บข้อมูลของ User แต่ละคน โดยใน Text file นั้นจะเต็มไปด้วยข้อมูลการตั้งค่าและการใช้งานของ User ส่งไปให้เจ้าของโดเมน เพื่อนำเสนอข้อมูลบนเว็บไซต์ให้ตรงความต้องการของ User คนนั้น ๆ
เช่น เรา Login เข้า Website A เอาไว้ Website A ก็จะสร้างคุกกี้บันทึกให้เราทันทีว่า User คนนี้ Login เอาไว้แล้ว ครั้งต่อไปที่เราเข้าเว็บไซต์ ก็จะไม่จำเป็นต้องใส่รหัสอีกรอบ
หรือเรากดเพิ่มสินค้าลงตะกร้าในเว็บขายของออนไลน์เอาไว้ ข้อมูลนี้ก็จะโดนบันทึกไว้ในคุกกี้ ครั้งต่อไปที่เราเข้าเว็บไซต์ สินค้าเดิมก็จะยังอยู่ในตะกร้า ไม่จำเป็นต้องกดเลือกใหม่ เป็นต้น
จะเห็นได้ว่า Cookie สามารถช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งานได้อย่างมาก และยังช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้งานของ User และพัฒนาเว็บไซต์ให้สามารถนำเสนอเนื้อหาให้ตอบโจทย์ของ User แต่ละคน หรือ Personalization ได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย
ประเภทของคุกกี้ (Cookie) มีอะไรบ้าง
เมื่อเราเข้าใจการทำงานและเห็นประโยชน์ของคุกกี้ไปแล้ว ต่อไปเรามาทำความรู้จักคุกกี้แต่ละประเภทที่ถูกใช้ในเว็บไซต์กันต่อ เพื่อหาวิธีการรับมือถ้า Third-Party Cookie หายไปแล้ว จะทำอย่างไรกันได้บ้าง
ภาพจาก: madgicx
1. First-Party Cookie คืออะไร
First-Party Cookie เป็นคุกกี้ที่ตั้งค่าโดยเว็บไซต์เองเพื่อส่งข้อมูลให้กับเจ้าของเว็บไซต์ มักจำเป็นต่อฟังก์ชันการใช้งานเว็บไซต์ เช่น ระบบยืนยันตัวตนผู้ใช้งาน การตั้งค่าเว็บไซต์ของผู้ใช้งาน หรือการวิเคราะห์ข้อมูลการใช้งานบนเว็บไซต์
2. Second-Party Cookie คืออะไร
ส่วนมาก Second-Party Cookie จะเป็นการใช้ First-Party Cookie แต่มีการแชร์ข้อมูลกันระหว่างพาร์ทเนอร์ เช่น Website A เก็บข้อมูลจากคุกกี้ในเว็บไซต์ของตัวเอง แล้วนำข้อมูลที่ได้มาส่งต่อให้กับ Website B ที่เป็นพาร์ทเนอร์กัน เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันบางอย่าง เป็นต้น ดังนั้น Second-Party Cookie จึงเหมือนเป็นการตกลงแชร์ข้อมูลกันมากกว่า
3. Third-Party Cookie คืออะไร
Third-Party Cookie เป็นคุกกี้ที่สร้างโดยเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มอื่น แล้วถูกนำมาติดตั้งลงในเว็บไซต์ต่าง ๆ คุกกี้ประเภทนี้มักถูกใช้เพื่อเก็บข้อมูลพฤติกรรมของ User ในทุกเว็บไซต์ที่เข้าชม (ข้ามเว็บไซต์) และนำไปใช้ทางการตลาด
สำหรับตัวอย่างของ Third-Party Cookie เช่น Facebook Pixel, TikTok Pixel, Google Tag, Hotjar Tag เนื่องจากมีแพลตฟอร์มอื่นที่ไม่ใช่เว็บไซต์ที่เราเข้าชมเป็นคนสร้างคุกกี้และเก็บข้อมูลผู้ใช้ออกไป แล้วแพลตฟอร์มนั้นก็นำข้อมูลที่เก็บไปมาแสดงให้เจ้าของเว็บไซต์ดูอีกที
ความสำคัญของ Third-Party Cookie คืออะไร นักการตลาดควรรู้
เมื่อทุกคนเข้าใจความแตกต่างของคุกกี้แต่ละประเภทแล้ว จะเห็นได้ว่า Third-Party Cookie เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากต่อนักการตลาดออนไลน์ โดยเฉพาะ Performance Marketing เนื่องจาก Third-Party Cookie คือ เครื่องมือที่ทำให้นักการตลาดได้ข้อมูลของคนที่เข้าเว็บไซต์ ซึ่งในโลกของการตลาดที่วางลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Personalized Marketing) แล้ว การที่จะทำการตลาดออนไลน์ หรือส่งโฆษณาที่เฉพาะเจาะจงเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มเป็นลูกค้าได้ (Potential Customer) ได้อย่างแม่นยำ จำเป็นต้องอาศัย Signal หรือ Data ต่าง ๆ ที่ได้มาจากคุกกี้ทั้งนั้น
ซึ่งในปัจจุบันนี้ หลาย ๆ เว็บไซต์ของแบรนด์ยังคงใช้ Third-Party Cookie เป็นหลัก ในการเก็บข้อมูลพฤติกรรม User และยังใช้ข้อมูลผ่านแพลตฟอร์มอื่น เช่น ดูจำนวนคนเข้าเว็บไซต์จาก Google Analytic ดูจำนวนคนคลิกปุ่มแชทในเว็บไซต์จาก Facebook Ads หรือสร้าง Retargeting Ads จากจำนวนคนเข้าเว็บไซต์ที่ได้จาก Facebook Pixel
ดังนั้น จากข่าว Google ประกาศจะยุติ Third-Party Cookie ทั้งหมดบน Chrome จึงส่งผลกระทบโดยตรงต่อเว็บไซต์ที่ยังคงพึ่งพาการเก็บข้อมูลด้วย Third-Party Cookie เพียงอย่างเดียวอย่างแน่นอน เนื่องจาก Chrome เป็น Web Browser ที่มีคนใช้งานมากถึง 65 เปอร์เซ็นต์ ถือเป็นอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เว็บไซต์ของเราจะไม่ได้รับผลกระทบ ดังนั้น การเตรียมตัวรับมือให้ถูกต้องตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงจะเป็นผลดีให้กับนักการตลาดมากกว่า
วิธีรับมือการปิดกั้น Third-Party Cookie คืออะไร และทำอย่างไร
เราจะทำอย่างไรกันดี ถ้าเบราว์เซอร์ที่ถือส่วนแบ่งทางตลาดมากที่สุดในโลกจะปิดกั้น Third-Party Cookie ครั้นเราจะไปเปลี่ยนพฤติกรรมของคนให้ใช้เบราว์เซอร์อื่นที่ไม่ปิดกั้นก็คงจะไม่ได้ เพราะหากพูดกันตามตรงแล้ว เทรนด์ของโลกเรากำลังให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัว (Privacy) มากขึ้นทุกวัน และการที่มีคุกกี้คอยตามเก็บพฤติกรรมของเราไปทุกที่ในโลกออนไลน์ ก็ไม่ใช่โลกออนไลน์ในฝันของใครหลาย ๆ คน
ในบทความนี้ทีม Honey Lime Agency จึงมีคำแนะนำมาให้นักการตลาดและแบรนด์ เพื่อเตรียมรับมือกับโลก Cookieless ดังนี้
1. ใช้ประโยชน์จาก First-Party Cookie ให้มากขึ้น
อย่างที่บอกไปว่า กระแสของ Data Privacy นั้นมีมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่าง แคมเปญของ Apple ก็หยิบยกเรื่องความเป็นส่วนตัวมานำเสนอ โดยเลือกไม่ให้แอปพลิเคชัน ติดตาม (Tracking) ข้อมูลข้ามแอปฯ มาหลายปีแล้ว
ดังนั้น การเก็บ data บนโลกออนไลน์จะยากขึ้นอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น First-Party Cookie ที่เจ้าของเว็บไซต์ต้องใช้กันอยู่แล้วนั้น ควรนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นการนำข้อมูลที่ได้จาก First-Party Cookie มาทำเป็น Dashboard เพื่อวิเคราะห์ผลได้ตาม KPI โดยไม่ต้องผ่านการกรองจากแพลตฟอร์มอื่น
หรือการนำ data ได้จาก First-Party Cookie ไปทำการ Retargeting Ads ผ่านแพลตฟอร์ม Social Media เพื่อเจาะกลุ่มตามพฤติกรรมการใช้เว็บไซต์หรือประวัติการซื้อของลูกค้า ซึ่งวิธีนี้จะทำให้นักการตลาดสามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างเฉพาะเจาะจงมาก เพราะเป็นข้อมูลจากเว็บไซต์ของเราเอง ไม่ต้องพึ่ง signal จากแพลตฟอร์มอื่น อย่างไรก็ตาม วิธีนี้แบรนด์ต้องมีฐานข้อมูลเยอะมากพอ เพื่อให้แคมเปญนำส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. Tracking ด้วย GA4 ให้ได้ประสิทธิภาพมากที่สุด
หากในปีนี้แบรนด์ไหนยังไม่พร้อมในการใช้แค่ First-Party Cookie อย่างเดียว ก็ยังสามารถเก็บข้อมูลผ่าน Third-Party Cookie ได้อยู่ เพราะข่าวดีในข่าวร้ายก็คือ Chrome ยังอนุญาตให้คุกกี้ในเครือข่ายของ Google ใช้งานได้ปกติ เพราะเป็นเจ้าของเดียวกัน ทำให้ Google Tag ที่ถึงแม้จะเป็น Third-Party Cookie ก็ยังสามารถทำงานบนเว็บไซต์เราได้เหมือนเดิม และการวิเคราะห์ผลผ่าน Google Analytic (GA4) ยังใช้งานได้ปกติ
เพราะฉะนั้น แบรนด์ไหนหรือเว็บไซต์ไหนที่ยังไม่ได้ Tracking Event หรือ Conversion ไว้ใช้ชัดเจนตรงตาม KPI นี่คือโอกาสอันดีที่จะเริ่มทำ เพื่อให้เราสามารถวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าได้ละเอียดมากขึ้น และนำข้อมูลมาใช้ทางการตลาดได้ดียิ่งขึ้น
3. พัฒนา SEO ของเว็บไซต์และบทความ
อย่างที่ได้กล่าวไปว่า โลกในอนาคตการรักษาความเป็นส่วนตัว (Privacy) จะเข้มข้นมากขึ้น และการทำโฆษณารูปแบบ Personalized Ads จะยากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น SEO จึงเป็นสิ่งที่ทุกแบรนด์ควรให้ความสำคัญอย่างมาก เพราะเป็นการทำการตลาดที่สามารถเข้าถึง Potential Customer ได้โดยมีค่าใช้จ่ายน้อย และไม่จำเป็นต้องรอ Privacy Consent จากลูกค้า
อีกทั้งแบรนด์ยังสามารถใช้ SEO ในการส่งมอบความคุ้มค่าของบริการ (Value) ที่ลูกค้ามองหาได้โดยตรง หรือที่เรามักเรียกกันว่า Pull Marketing แทนการพึ่งพา Ads หรือ Push Marketing เพียงอย่างเดียว
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
4. สร้างแรงจูงใจในการให้ข้อมูลของลูกค้า (Incentivize Data Sharing)
หนึ่งในวิธีการได้ข้อมูลเชิงลึก (Insight) ของลูกค้าเพิ่มมากขึ้น คือ การให้สิ่งสมนาคุณตอบแทน แลกกับข้อมูลของลูกค้า เช่น กรอกอีเมลเพื่อรับโปรโมชันพิเศษ หรือ ตอบแบบสอบถามและรับส่วนลดเมื่อทำเสร็จ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม นักการตลาดและแบรนด์ควรมีการสื่อสารที่ชัดเจนต่อลูกค้าว่าข้อมูลที่ลูกค้ากรอกมาจะถูกนำไปใช้เพื่ออะไรบ้าง ให้ถูกต้องตามหลักการของ PDPA หรือ GDPR
5. ทำ CRM เพิ่ม Retention Rate และ Loyalty
ในอนาคตโลกออนไลน์จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่อย่างแน่นอน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจทำให้การเข้าถึงลูกค้าใหม่ ๆ ผ่านการทำการตลาดออนไลน์ทำได้ยากขึ้น ดังนั้น แบรนด์ควรให้ความสำคัญกับ Customer Relationship Management (CRM) เป็นอย่างมาก เพื่อดูแลลูกค้าเก่า ด้วยการเพิ่มการกลับมาซื้อซ้ำ (Rentention) และกลายเป็นลูกค้า Loyalty ของแบรนด์ และเกิดการบอกต่อเพิ่มลูกค้าใหม่เข้ามาได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายไปกับแพลตฟอร์มโฆษณาทั้งหมด
บทสรุป
สุดท้ายนี้ จะเห็นได้ว่าการปิดกั้น Third-Party Cookie จาก Google Chrome จะมีผลกระทบอย่างมากต่อการทำงานของนักการตลาดและแบรนด์ แต่เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงในโลกออนไลน์เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นักการตลาดและแบรนด์จึงควรหาวิธีมาใช้เพื่อเตรียมรับมืออยู่เสมอ
ไม่ว่าจะเป็นการใช้ประโยชน์จาก First-Party Cookie เพิ่มมากขึ้น หรือการนำ GA4 มาใช้ให้เต็มประสิทธิภาพในระหว่างนี้ ก็ช่วยให้นักการตลาดเข้าใจลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น รวมถึงการพัฒนา SEO เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าโดยไม่ต้องพึ่งพา Third-Party Cookie อีกด้วย
นอกจากนี้ การสื่อสารเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวและการใช้ข้อมูลของลูกค้าอย่างชัดเจนจะช่วยเพิ่มความไว้วางใจจากลูกค้าในการให้ข้อมูล เช่น ได้รับสิ่งสมนาคุณตอบแทนในการแลกเปลี่ยนข้อมูล
รวมถึงการใช้ CRM เพื่อเพิ่ม Retention Rate และ Loyalty จะช่วยให้แบรนด์สามารถรักษาลูกค้าเก่าไว้และเพิ่มโอกาสในการได้ลูกค้าใหม่ได้อย่างยั่งยืน
ด้วยวิธีเหล่านี้ นักการตลาดและแบรนด์สามารถเตรียมตัวรับมือกับการปิดกั้น Third-Party Cookie ได้อย่างมั่นใจ และนำธุรกิจไปสู่อนาคตใหม่ได้อย่างเต็มศักยภาพ